ยินดีต้อนรับ

ยินดีต้อนรับสู่พื้นที่ธรรม มหัศจรรย์ และอจินไตย

วันอาทิตย์ที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2563

(003) อัศจรรย์ "อุบายธรรม" สอนศิษย์ (หลวงพ่อฉลวย อาภาธโร)


หลวงพ่อฉลวย อาภาธโร
ดร.นนต์ ถ่ายภาพ เมื่อคราวร่วมธุดงค์สัญจรภาคเหนือ เป็นครั้งแรก
ณ อ่างเก็บน้ำดอยม่อนธาตุ อ.แม่ทะ จ.ลำปาง   8 เมษายน 2555

🔹 อัศจรรย์ "อุบายธรรม" สอนศิษย์ 🔹

🔹 หลวงพ่อฉลวย อาภาธโร 🔹


🔶 สภาวธรรมบังเกิดแก่บุรุษเป็นครั้งแรก 🔶

ภายใต้บารมีธรรมของหลวงพ่อฉลวย อาภาธโร


        🔹 ท่านทั้งหลาย "บุรุษผู้หนึ่ง" หลังจากได้กราบขอเป็นศิษย์หลวงพ่อฉลวย อาภาธโร พระผู้สิ้นอาสวะกิเลสแล้ว แห่งวัดโคกปราสาท ในช่วงปลายปี 2554  ในปีถัดมา จึงมีโอกาสได้ติดตามหลวงพ่อ ออกธุดงค์สัญจรทางภาคเหนือ ระหว่างวันที่ 5-9 เมษายน 2555 ซึ่งนับเป็นการปฏิบัติธรรมสัญจร "เป็นครั้งแรก" ของบุรุษผู้นี้ ภายใต้บารมีธรรมของหลวงพ่อ และได้รับความเมตตาจากหลวงพ่อหาที่สุดมิได้ ดังเหตุการณ์อัศจรรย์ต่างๆ ที่ได้บังเกิดขึ้นแก่บุรุษผู้นี้แล้ว ดังนี้

🔹1🔹 🔶 ปริศนา ดวงสว่าง 🔶

          ณ ค่ำคืนแรก วันที่ 5 เมษายน 2555  หลวงพ่อฉลวย อาภาธโร และคณะศิษย์วัดโคกปราสาท ต.หลุ่งตะเคียน อ.ห้วยแถลง จ.นครราชสีมา ได้พักภาวนา ณ บริเวณถ้ำวัวแดง อำเภอหนองบัวระเหว จังหวัดชัยภูมิ หลังจากหลวงพ่อได้แสดงธรรม พาสวดมนต์ และภาวนาแล้ว ในราวเที่ยงคืน ขณะที่บุรุษผู้หนึ่งนั่งภาวนาอยู่ในเต็นท์ตามอัธยาศัย ด้วยจิตใจที่เบาสบาย ขณะเดียวกัน ได้มีบางสิ่งเกิดขึ้นเป็นอัศจรรย์ โดยมีญาติธรรมบางท่าน เห็นดวงไฟสว่างลอยอยู่ในเต็นท์ของบุรุษผู้นั้น อยู่ระยะหนึ่ง แล้วจึงเลือนหายไป ต่างก็ได้แต่สงสัย เพราะไม่ทราบว่าเป็นแสงอะไร 

           🔹 "หลง" แล้ว "ละ" 🔹
           🔹 สีลัพพตปรามาส 🔹 

           อย่างไรก็ตาม... มาทราบจากหลวงพ่อที่เล่าให้ลูกศิษย์ฟังในภายหลังว่า วันนั้น หลวงพ่อตั้งใจจะปราบ ดร. ผู้พึ่งเป็นลูกศิษย์ใหม่ให้ลงใจ ด้วยการแสดงธรรมพิเศษ เกี่ยวกับการยึดติดในพระเครื่อง ที่เขายังหลงใหลและสะสมอยู่  โดยอาศัยเหตุการณ์หลังจากที่บุรุษผู้นี้ ได้แบกสัมภาระพะรุงพะรัง ไต่บันไดที่สูงชันขึ้นไปยังถ้ำวัวแดง ด้วยอาการเหนื่อยหอบ และก็ไปถึงเป็นคนเกือบสุดท้าย อย่างทุลักทุเล 

            เมื่อหายเหนื่อยแล้ว บุรุษผู้นี้ได้เข้าไปกราบหลวงพ่อท่ามกลางลูกศิษย์หลายสิบคน พอนั่งลง หลวงพ่อได้มองหน้าแล้วยิ้ม พร้อมกับเอ่ยขึ้นว่า... "เป็นไงด็อกเตอร์ เหนื่อยมากใช่ไหม?"... เขาตอบว่า... "ข้าน้อย"... หลวงพ่อเมตตาเอ่ยต่อไปว่า... "มันเหนื่อยมาก เพราะให้พระขี่คอมาหลายองค์ มันก็เหนื่อยละสิ แขวนคอยังไม่พอ ยังห้อยอีกเต็มตัว เดินก็กระทบกันเสียงดังกรุ๊งกริ๊ง ชั่งหลงใหลไปได้ มันไม่ใช่ทางพ้นทุกข์นะ พระพุทธเจ้าก็ไม่เคยพาทำ เรายังหลงทาง ลูบคลำหาอยู่ มันจะทำให้เสียเวลานะ"... ธรรมจริงจากใจหลวงพ่อ หลั่งไหลกระแทกใจผู้เป็นศิษย์อยู่พักหนึ่ง สุดท้าย หลวงพ่อก็เมตตากล่าวปลอบใจว่า ..."ยังดีอยู่ ที่พระเครื่องพาให้หันมาปฏิบัติธรรม ก็ยังนับว่าพอมีคุณอยู่บ้าง"... 

            อย่างไรก็ตาม ขณะที่หลวงพ่อแสดงธรรม ด้วยการกระแทกกิเลสแบบตรงๆ ลูกศิษย์ผู้มาใหม่ ถึงกับอึ้ง จึงย้อนจิตน้อมพิจารณาตามด้วยสติด้วยปัญญา ในที่สุดก็ลงใจในธรรมนั้น อย่างหมดข้อสงสัย ใจก็เบาสบายอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน  

            อีกหลายปีต่อมา หลวงพ่อได้เฉลยในภายหลังว่า หลังจากที่หลวงพ่อได้แสดงธรรมแก่ลูกศิษย์ผู้มาใหม่จบลง จิตของบุรุษผู้นี้ได้สว่างไสว  จึงเป็นที่น่าอัศจรรย์ใจ ในวาระจิต วาระธรรม ที่พ่อแม่ครูอาจารย์ได้ล่วงรู้วาระว่า จะยกเอาข้อธรรมบทใด มาแสดงให้ลูกศิษย์ละวางกิเลสได้ และนับตั้งแต่บัดนั้นมา บุรุษผู้นั้น ก็ได้ละวางพระเครื่องทั้งหมดลงอย่างสิ้นเชิง ด้วยเข้าใจอย่างถ่องแท้ตามความเป็นจริง ดังธรรมที่หลวงพ่อได้แสดงแล้วว่า... "บุญของตนเองเท่านั้น ที่เป็นที่พึ่งแห่งตน"... หาใช่วัตถุนอกกาย แม้จะศักดิ์สิทธิ์แค่ไหน ก็หาใช่ที่พึ่งที่แท้จริงไม่ ให้ดำเนินปฏิปทาตามแนวทางที่พระพุทธองค์ประทานไว้  เมื่อเข้าใจและละวางสิ่งลูบคลำในหนทางปฏิบัติได้แล้ว "สีลัพพตปรามาส" ก็เบาบาง ใจก็สว่างไสว  เพราะได้ละวางกิเลสไปตามลำดับ









พระสมเด็จวัดระฆังบางส่วน
สมบัติที่หลงหามาได้ กว่าจะละวางลงได้
ก็ต้องใช้เงินหมดไป หลักล้านบาท


🔹2🔹 🔶 ใจถึงใจ 🔶

            ต่อมา คืนที่สอง วันที่ 6 เมษายน 2555 หลวงพ่อและชาววัดโคกปราสาท ได้พักค้างคืนภาวนาอยู่ในสวนไม้สักของญาติคุณปลัดโจ๊ก ซึ่งอยู่ในเขตอำเภอเมือง จ.แพร่ ขณะที่ภาวนา บุรุษผู้หนึ่ง ได้พิจารณาข้อธรรมหลายอย่าง โดยเฉพาะความซาบซึ้งในปฏิปทาของหลวงพ่อว่า บัดนี้เราได้พบพ่อแม่ครูอาจารย์ที่แท้จริงแล้ว จิตจึงโน้มเข้าไปกราบแทบเท้าองค์ท่าน พร้อมกับอธิษฐาน ขอเป็นลูกศิษย์ท่านจนหมดใจ พลันทันใด จิตก็สะท้านหวั่นไหว และแผ่ซ่านไปทั้งกายและใจ เสมือนท่านได้ส่งกระแสจิตสะท้อนกลับมา ใจจึงปีติยินดี จนกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่ พอออกจากสมาธิแล้ว หลวงพ่อหันหน้ามามองแล้วยิ้ม พร้อมกับเอ่ยขึ้นมาเป็นเชิงนัยว่า... "เป็นอย่างไรบ้างด็อกเตอร์ รู้เห็นอะไรบ้างละ"... เขาน้อมรับว่า... "ครับ ข้าน้อยรู้แต่ว่า เหมือนหลวงพ่อได้ส่งกระแสจิตกลับมา ข้าน้อย"... 

🔹3🔹 🔶 กิเลสซ้อนกิเลส 🔶

           ต่อมา ในค่ำคืนที่สาม วันที่ 7 เมษายน 2555 ณ อ่างเก็บน้ำเชิงเขาดอยม่อนพระธาตุ อ.แม่ทะ จ.ลำปาง ขณะที่บุรุษผู้หนึ่ง นั่งภาวนาอยู่ใกล้กับหลวงพ่อด้วยอาการสำรวม เพราะความเกรงในการหยั่งรู้วาระจิตของท่าน จึงทำให้เขาระวังในความคิดทั้งหลาย ที่จะไปกระทบกับท่าน เพราะคิดว่า ท่านกำลังตามดูจิตของตนอยู่ จึงทำให้มีสติตามรู้อาการที่ผ่านเข้ามาทางอายตนะทั้งหก ขณะใดจิตมันเฉออกไปคิดนอกกายและใจ สติก็ดึงกลับมาสู่ปัจจุบันธรรมได้ไวขึ้น 

           ต่อมา ได้มีสภาวธรรมบางอย่างบังเกิดขึ้น คือ ในขณะที่ภาวนา ปรากฏว่าท้องมันร้องดังขึ้นมาด้วยความหิว ทันใดนั้น พลันถ้วยกาแฟอันสวยงามก็ปรากฏขึ้นมา พร้อมกับส่งกลิ่นหอมอันอบอวล ชวนให้เกิดความหิวขึ้นมาทันใด แต่ไม่นาน สติก็ระลึกรู้ได้ทันท่วงทีเช่นกันว่า... "เฮ้ย มึงเป็นกิเลสนี่ มึงปรุงขึ้นมา กูทุบมึงเดี๋ยวนี้".... ปรากฏว่า ถ้วยกาแฟได้แตกกระจายตามที่จิตสั่งทันที แต่แล้วถ้วยกาแฟพร้อมกลิ่นหอมก็กลับปรากฏขึ้นมาอีก จิตก็ทุบมันแตกเปรี้ยงไปอีก เกิดขึ้นเร็วก็ทุบเร็ว สู้กันไปหลายนาที ไม่นาน  "ผู้รู้" ก็ผุดขึ้นมาว่า... "เฮ้ย เราปรุงกิเลสขึ้นมาทั้งคู่นี่ จิตปรุงถ้วยกาแฟพร้อมกลิ่นหอมขึ้นมาเอง แล้วจิตก็ปรุงอำนาจไปทุบมัน โอ้ตายแล้ว มันเป็นกิเลสทั้งคู่นี่" ...พลันทันใด ทั้งภาพถ้วยกาแฟและการทุบถ้วยกาแฟ ก็ได้อันตรธานหายไปในพริบตา เรื่องที่เกิดขึ้นและผ่านมาเมื่อสักครู่ มันดับไปทันทีเป็นอัตโนมัติ คงเหลือไว้แต่ความสงบ สว่างและเบาสบาย  

            หลังจากได้ออกจากสมาธิแล้ว หลวงพ่อท่านเมตตาเอ่ยให้กำลังใจว่า... "ดีแล้ว ถูกแล้ว ให้เพียรเอานะ"...

🔹4🔹 🔶 อัศจรรย์การกำเนิดของพื้นโลก 🔶

            หลังจากเกิดสภาวธรรมถ้วยกาแฟแล้ว ราวเที่ยงคืน หลวงพ่อบอกบุรุษผู้เป็นศิษย์ใหม่ ให้ไปเดินจงกรมใกล้กับตลิ่งริมอ่างน้ำ เขาจึงขอปลีกตัวออกไป ขณะเดินจงกรมตลอดเวลาหนึ่งชั่วโมง เขาพยายามมีสติรู้เท่าทันอายตนะที่เข้ามากระทบกายใจ และพิจารณาธาตุทั้งสี่สลับกันไป เมื่อพิจารณาไปได้ระยะหนึ่ง ขณะเดินไปสุดทางจงกรม เขาได้ยืนหลับตา เพื่อพิจารณาธรรม พลันจิตได้สงบลงทันที พร้อมกับปรากฏมีภาพพื้นดินและป่าเขาที่เขายืนอยู่   ได้กลายเป็นดินง่วนสีขาวนวล ราบเรียบไปหมด เสมือนเป็นการเกิดใหม่ของภูเขาลูกนี้ พร้อมกับเปลี่ยนสภาพไปเป็นดิน หิน น้ำ หญ้า มีลมฝน มีหนองน้ำ มีป่า ต้นไม้ เกิดแล้วก็ตายไป ภาพเปลี่ยนแปลงไปเร็วมาก เสมือนเป็นการฉายภาพย้อนอดีต ตั้งแต่การเกิดขึ้นของผิวโลกบริเวณนี้ แต่เนื่องจากเป็นภาพนิมิต ที่เกิดขึ้นอย่างชัดแจ๋วเป็นครั้งแรก จึงไม่แน่ใจว่า นี่คืออุปทานหรือไม่ จึงได้พยายามกำหนดจิตไปในเรื่องอื่น แต่การเปลี่ยนแปลงของบริเวณนั้น ก็ยังปรากฏเป็นฉากๆ ฉายต่อเนื่องไป จนกลายเป็นสภาพในปัจจุบัน สติปัญญาจึงได้พิจารณาสัจธรรม เห็นความเป็นอนิจจัง มีความเปลี่ยนแปลงไปไม่สิ้นสุด มีการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็ดับไป เห็นไตรลักษณ์เกิดขึ้นจริงที่ใจ 

            เมื่อพิจารณาได้พอสมควรแล้ว ก็ถอนจิตออกมา แล้วเดินจงกรมต่อไป เมื่อมาถึงปลายทางอีกด้านหนึ่ง ก็หยุดยืนมองไปที่ภูเขาอีกลูกหนึ่ง แล้วหลับตา ก็เกิดภาพทำนองเดียวกันอีก สิ่งที่เกิดขึ้นจะเรียกว่าอะไร ก็ไม่ทราบได้ หรือจะเป็นอะไรก็ชั่งมันเถอะ เพราะที่สุดมันก็เป็นอนัตตาอยู่ดี จึงละวางความยินดีกลับคืนสู่ธรรมชาติของมัน วาระธรรมและการเดินจงกรมของวันนี้ ก็จบลง


อ่างเก็บน้ำ บริเวณดอยม่อนพระธาตุ อ.แม่ทะ จ.ลำปาง
ดร.นนต์ ถ่ายภาพย้อนหลัง ปี 2559


🔹5🔹 🔶 จิตสว่างจ๊าด 🔶

           ค่ำคืนที่สี่ วันที่ 8 เมษายน 2555 หลวงพ่อและคณะวัดโคกปราสาท ได้พักค้างคืนภาวนา ณ บริเวณอ่างเก็บน้ำ ที่อยู่ใกล้กับมหาวิทยาลัยแม่โจ้ จังหวัดเชียงใหม่  ขณะที่คณะภาวนาอยู่ในศาลา บุรุษผู้หนึ่ง ยังมีสติเฝ้าระวังความคิด เพราะทราบว่าพ่อแม่ครูอาจารย์คอยดูอยู่ อีกทั้งหลวงพ่อแนะนำอุบาย ให้ภาวนาด้วยการละวางความคิด ทำใจให้สบายๆ คล้ายกับการนอนหลับ แต่สติต้องไม่ขาด พอดูลมหายใจเข้าออกนานเข้า จิตก็สงบลง พร้อมกับปรากฏมีแสงสว่างไสว สว่างวาบ พุ่งจ๊าดออกไป แสงนั้นประมาณแสงสว่างของสปอร์ตไลท์ หรือไฟสูงหน้ารถยนต์  จิตไม่เคยพบเห็นมาก่อน จึงเกิดปีติยินดีและตื่นเบิกบาน แม้สภาวะนั้น จะเป็นเพียงขั้นต้นของนักภาวนา แต่ก็มิใช่ว่าจะเกิดขึ้นได้ง่ายๆ จึงนับว่าเป็นกำลังใจอย่างดีที่สุด

            อย่างไรก็ตาม ขณะที่คณะกำลังภาวนา หลวงพ่อได้พิจารณาข้อติดขัดของลูกศิษย์ ด้วยข่ายปัญญาญาณของท่าน พอออกจากสมาธิแล้ว หลวงพ่อจึงเมตตากระซิบกับบุรุษผู้เป็นศิษย์ใหม่ว่า "ด็อกเตอร์ ยังหลงอยู่มากนะ ค่อยๆละวางลงนะ เดี๋ยวก็ดีเอง" ผู้เป็นศิษย์น้อมรับโดยดุษฎีอย่างทันทีว่า... "ข้าน้อย"... ด้วยเข้าใจในความหมายที่พ่อแม่ครูอาจารย์เอ่ย จึงไม่จำเป็นต้องถามท่านอีก นั่น จึงนับเป็นความเมตตาของพ่อแม่ครูอาจารย์ ที่มีต่อศิษย์อย่างหาที่สุดประมาณมิได้  

🔹6🔹 🔶 ธรรมจากสัญญา 🔶

           หลังจากหลวงพ่อ ได้พาออกจากการนั่งสมาธิแล้ว หลวงพ่อได้พาลูกศิษย์เดินจงกรมไปตามเส้นทางทั้งบนถนนหลังอ่างเก็บน้ำ และเดินวนไปตามถนนรอบที่ทำการ ระยะทางหลายกิโลเมตร เดินอยู่หลายรอบจนเลยเวลาเที่ยงคืน ขณะเดียวกัน บุรุษผู้หนึ่ง ได้เดินจงกรมตามหลังติดกับหลวงพ่อ สติจึงเฝ้าระวังอยู่กับการเดิน สลับกับการพิจารณาอยู่กับสิ่งที่มาปะทะกับอายตนะ บางช่วงได้หยิบยกเอาข้อธรรมตามสัญญาขึ้นมาพิจารณา ขณะพิจารณาจิตก็รู้ว่า หลวงพ่อเฝ้าดูอยู่ จึงเอ่ยในใจไปถึงท่านว่า... "ข้าน้อย พิจารณาจากสัญญา ยังไม่เห็นจริง แต่ขอพิจารณาอย่างนี้ไปก่อน ข้าน้อย"... พลันเสมือนหลวงพ่อได้ตอบกลับมาว่า... "ใช่แล้ว"... เมื่อพิจารณาธรรมเพลินไปได้ระยะหนึ่ง สติระลึกได้ว่า... "นี่ก็เป็นแต่สัญญาดอก"... พลันคลื่นก็ตอบมาทันทีว่า... "ใช่แล้ว"... เมื่อระวังธรรมสัญญาปรุงแต่งนานเข้า สติได้เคลื่อนไปอยู่กับอาการเวทนาที่เกิดขึ้น เพราะการเดินขึ้นลงบนถนนหลังอ่างน้ำเป็นเวลานาน จึงวางธรรมในสัญญาลง เพราะการย้อนกลับไปพิจารณาเวทนาและความเหนื่อยล้าแทน  กอรปกับ มีลูกศิษย์บางคนได้โอดโอยบ่นพึมพำในใจว่า "เมื่อไรหลวงพ่อจะพาหยุดสักที" หลวงพ่อได้ยินเสียงความคิดอันอื้ออึง จึงเห็นใจ เพราะใช้เวลาเดินก็นานแล้ว หลวงพ่อจึงให้หยุดพักผ่อนตามอัธยาศัย ในเวลาเลยเที่ยงคืนไปแล้ว

🔹7🔹 🔶 เสียงขู่ปริศนา 🔶

          ต่อมา ในวันสุดท้าย ตอนเย็นของวันที่ 9 เมษายน 2555 ขณะที่คณะเดินทางกลับมาถึงเขื่อนลำตะคอง อ.สีคิ้ว จ.นครราชสีมา หลวงพ่อและชาวคณะได้แวะพักสวดมนต์และภาวนาที่ริมเขื่อนลำตะคอง อย่างไรก็ตาม ขณะภาวนา ได้มีผู้ไม่มีตัวตนเข้ามาแสดงฤทธิ์ ด้วยการเนรมิตลมพัดแรงมาเป็นระลอกๆ  ขณะเดียวกัน บุรุษผู้หนึ่งและป้าๆอุบาสิกาบางท่าน ได้ยินเสียงผู้ไม่มีตัวตน โยนอะไรบางอย่าง คล้ายกับก้อนหินใส่หมู่คณะ เสียงดังตุ๊บ แล้วก็กลิ้งเสียงดังผ่านหน้าไป เพื่อเป็นการขับไล่ แต่เมื่อไม่มีผู้ใดสนใจ ผู้ลึกลับจึงเปล่งเสียงดังคำรามอันน่ากลัวว่า... "มาทำไม มาทำอะไร เราไม่ชอบ" บุรุษผู้นี้ถึงกับสะดุ้ง แต่ก็ไม่ได้หวาดกลัว มีแต่สังเวชในกรรมที่จะบังเกิดขึ้นแก่เขา

            ต่อมา หลวงพ่อได้เล่าให้ฟังว่า พญานาคตนหนึ่ง เป็นผู้มีมานะทิฏฐิสูงมาก ไม่ยอมใคร เพราะคิดว่าตนเป็นใหญ่ที่สุดในเขื่อนลำตะคอง จึงไม่พอใจที่คณะมาพักภาวนาที่นี่ จึงเข้ามาก่อกวน แต่ภายหลังเขาได้สำนึก จึงได้ขอขมากรรมต่อหลวงพ่อ และจะขอดูแลเป็นอย่างดี หากหลวงพ่อจะมาพักที่นี่อีก

           หมายเหตุ... ผู้เขียนขอขมากรรมต่อหลวงพ่อ หากมีข้อความคลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง เพราะความจำและสติปัญญาของผู้เขียนยังน้อยอยู่ จึงขอให้ท่านทั้งหลาย จงพิจารณากันเอาเองเถิด

           ขอเจริญในธรรม
           "อกุปปธรรม" ศิษย์วัดโคกปราสาท
           บันทึกย้อนหลัง 23 กุมภาพันธ์ 2560

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น